|
หมวดหมู่ > บทความ > เครื่องเสียงบ้าน >
ปุ่มปรับเสียงที่มากับลำโพง...ผู้ดีหรือผู้ร้าย
วันที่ : 23/08/2016
ปุ่มปรับเสียงที่มากับลำโพง...ผู้ดีหรือผู้ร้าย โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ ย้อนหลังไปร่วม 50 ปี ลำโพงบ้านที่มีระดับหน่วย ไม่ว่าลำโพงวางพื้น หรือวางหิ้ง 60% จะมีปุ่มปรับโทนเสียงมาให้ด้วย ส่วนใหญ่จะปรับได้ทั้งเสียงกลาง (1 ปุ่ม), เสียงแหลม (1 ปุ่ม) เชื่อไหมครับเกือบ 30 ปีมาแล้ว ลำโพงวางพื้นยี่ห้อ ปิรามิด ราคาคู่ละร่วมแสนบาท (ที่ฮ่องกง กว่า 30 ปีมาแล้ว) ให้ปุ่มปรับโทนเสียงถึง 7 ช่วงความถี่ ทำยังกับเป็น EQ (Equalizer) แผงวงจรขนาดร่วม 1 ศอก x 1 ศอก! เท่าที่ฟัง เสียงเรียบ ราบ จืดสนิท ไร้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น! ??????????????? เนื่องจากระบบลำโพงแบบทั่วไป (98%) เป็นแบบไม่มีภาคขยายเสียงในตัวใดๆ ทั้งสิ้น (เรียกว่าแบบ Passive ถ้ามีภาคขยายเสียงอยู่ภายในมาด้วย เรียกแบบ Active) ปุ่มปรับเสียงที่ให้มา จึงเป็นการปรับการลดทอนสัญญาณเสียงให้ค่อยลง มิใช่การเร่งให้ดังขึ้นได้ พูดง่ายๆ จากระดับเสียงที่ลำโพงควรให้ได้ ซึ่งตีว่า ระบุขีดตัวเลขไว้ที่ +6 dB เขาก็จะออกแบบวงจรแบ่งความถี่เสียง ให้ได้ระดับตอบสนองความถี่เสียงได้ราบรื่นที่สุด (ในห้องทดสอบไร้การก้องของผู้ผลิต) ที่ 0 dB (คือลดลงมา 6 dB) จากนั้นก็จะออกแบบวงจรให้สามารถลดเสียงได้อีก 6 dB (-6 dB) ที่ความถี่เฉพาะช่วงหนึ่ง/แถบหนึ่ง นั่นคือ ถ้าเราหมุนปุ่มการลดทอนเสียงนี้ ตั้งไว้ที่ 0 dB เสียงจะออกมาราบรื่นที่สุด (ในห้องทดสอบและฟังลำโพงยิงตรงมาเข้าหูเรา ตั้งฉากกับแผงหน้าลำโพง 90 องศา) ??????????????? การมีอยู่หรือให้มาด้วย ของปุ่มปรับความดัง/ค่อย ที่มากับลำโพงในลักษณะนี้ จะทำได้แบบ ยก-ลด เป็นแถบกว้าง เช่น ทำมาให้ปรับได้ตั้งแต่ความถี่เสียง 4 kHz ขึ้นไป (ปรับเสียงแหลมที่ไปเข้าดอกลำโพงเสียงแหลม) ถ้ามีปุ่มปรับเสียงกลางมาด้วย ก็มักปรับความดังตั้งแต่ความถี่ 4 kHz ลงมา (ปรับที่ไปเข้าดอกลำโพงเสียงกลาง/ทุ้ม) กรณีลำโพงระบบ 2 ทาง ถ้าเป็นระบบ 3 ทาง ก็มีปุ่มปรับ 3 ปุ่ม ปรับเสียงกลางต่ำลงต่ำสุด ปรับกลางต่ำถึงสูงตอนล่าง ปรับสูงตอนล่างขึ้นไปถึงสูงสุด เรียกลำโพง 3 ทาง ปรับได้ 3 ช่วงความถี่ ??????????????? สิ่งที่ต้องเข้าใจไว้ก่อนคือ เนื่องจากเป็นระบบลำโพงที่ไม่มีภาคขยายเสียงใดๆ ในตัว (คือเป็น Passive) การปรับสุ้มเสียงจึงเป็นได้แค่ การลดทอนระดับเสียง (ลดมากหรือลดน้อย หรืออยู่กลางๆ ไม่มากไม่น้อย) เป็นการลดหรือบั่นทอนความดังปกติลง ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ (แต่แยกการลดความดังเป็น 3 ระดับ คือ ไม่ลด (เขียนไว้ว่า +6 dB) ลดครึ่งหนึ่ง (เขียนไว้ว่า 0 dB) ลดลงมากสุด (เขียนไว้ว่า -6 dB)) โดยตั้งคัดค่าชิ้นส่วนวงจร ให้ได้ความถี่ตอบสนองราบรื่นที่สุดที่ 0 dB และจะหมุนวอลลุมตัวปรับนี้ไว้ที่ 0 dB เวลาส่งมาจากโรงงาน ??????????????? เนื่องจากการปรับเสียงแบบนี้ เป็นการบั่นทอน (ลด) ทั้งสิ้น มิใช่ขยายให้ดังขึ้นได้ อย่างปุ่มปรับโทนเสียง (ทุ้ม แหลม) ที่ปรีแอมป์หรือด้วยปรี EQ ภายนอก (ปรับแบบ Active มีภาคขยายให้ดังขึ้น) ??????????????? แต่ระบบลำโพง เป็นการลดทอนไล่จากลดมากสุด(-6 dB) ถึงลดน้อยสุด(+6 dB) (อย่าพูดว่าเพิ่ม) ??????????????? ดังนั้น มันจึงมักมีความไวต่ำ (Low Sensitivity) บางคู่บางยี่ห้อ ความไวเหลือแค่ 85 dB SPL (อย่างเก่งก็ 87 dB SPL) ซึ่งต้องใช้ภาคขยายกำลังสูงขับ (อย่างน้อยก็ 100 W.RMS/CH ถึงนับ 300 W.RMS/CH ที่ 8 โอห์ม) ถ้าจะให้ระบบลำโพงนี้มีความไวระดับ 90 dB SPL ก็มักต้องใช้ดอกลำโพงที่มีความไวสูงมากเป็นทุนเดิม เช่น 100-102 dB SPL (แม่เหล็กเบ้อเริ่มเทิ่ม หนักอึ้ง ดอกยกมือเดียวไม่ไหว) ซึ่งก็จะไปเจอปัญหา เสียงทุ้มลงได้ไม่ลึก ก็ต้องหาตัวตู้ขนาดใหญ่มาช่วยทุ้มให้ลงได้ลึกขึ้น ??????????????? ข้อเสียของระบบลำโพงที่มีปุ่มปรับสุ้มเสียงได้ 1. ราคาแพงกว่าปกติ เพราะต้องใช้ชิ้นส่วนบนแผงวงจรแบ่งความถี่เสียงมากขึ้นพอสมควร แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกระบบลำโพง ตำแหน่งที่หมุนวอลลุมปรับและได้สุ้มเสียง มิติเสียง ทรวดทรงเสียง ดีที่สุดนั้น ไม่สามารถเกิน 1 จุดได้ จึงป่วยการที่จะใช้วอลลุมแบบปรับได้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมานั่งปรับเสียงที่ตู้ลำโพง แล้วจะได้เสียง มิติดีที่สุดได้ สรุป www.maitreeav.com |