000
ปรึกษาเครื่องเสียง อจ. ไมตรี โทร 099-569-6459    
 
บอร์ดพูดคุย, ซื้อ-ขายเครื่องเสียง
>> audio-teams.com
>> noom-hifi.com
>> wijitboonchoo.com
>> hifi55.com  
>> sk-audiophile.com
>> htg2.net
นิตยสารเครื่องเสียง
>> what Hi-Fi? Thailand
>> The Wave
>> Audiophile-Videophile
>> gm2000.com
>> The Stereo
ร้านค้าเครื่องเสียง
>> Piyanas Electric
>> KS Sons Group
>> Conice (บ้านทวาทศิน)
>> อัศวโสภณ
>> munkonggadget.com
>> bkkaudio.com
 
ปรับขนาดตัวหนังสือ เช่น 15, 16, 18, 20, + + / ยกเลิกใส่ 0 :

หมวดหมู่ > บทความ > ปกิณกะ > รถไฟฟ้า หายนะ ชัดๆ UPDATE
วันที่ : 12/07/2024
12,409 views

รถไฟฟ้า หายนะ ชัดๆ

โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ

 มีความพยายามผลักดันรถยนต์ที่เราใช้กันทุกวี่วัน ให้เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น แก๊ส, น้ำมัน โดยให้หันมาใช้รถไฟฟ้าแทน ซึ่งเหตุผลหลักที่ยกมาอ้างถึงมากที่สุดคือ ลดมลภาวะเป็นพิษ จากไอเสียของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปที่เราใช้กันทุกวันนี้ แม้เหตุผลลึกๆ ก็เพื่อประกาศอิสรภาพจากการปั่นราคาของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันแถบตะวันออกกลางเป็นหลักหรือ OPEC ที่สูบเอาเงินของทั้งโลกมาเสวยสุขดุจเทวดานับร่วม 50 ปีมานี้

มีการนำเสนอรถไฟฟ้ามาไม่ต่ำกว่า 40 ปีแล้ว แต่ก็เหมือนเป็นได้แค่ทำต้นแบบมาโชว์ว่าตัวเองเจ๋งกว่าใคร เรื่องการผลิตออกขายใช้งานจริงๆ แทบเป็นไปไม่ได้ ยี่ห้อยักษ์อย่าง Toyota, Honda ทำได้แค่ผลิตจำนวนน้อยนิดออกมาขายและก็เป็นได้แค่ รถกึ่งไฟฟ้า (Hybrid) ใช้เครื่องยนต์น้ำมันปกติ ผสมกับ เครื่องยนต์ไฟฟ้า GM เองก็ซุ่มคิดค้น แต่สุดท้ายก็โยนผ้า

ปัญหาหนักที่สุดของรถไฟฟ้า คือ ตัวแบตเตอรี่ ที่เป็นแหล่งพลังงานที่จำเป็น ขาดไม่ได้ ซึ่งแบตก็ต้องมีความจุที่จะเก็บไฟไว้ได้มากที่สุด เพื่อให้รถวิ่งได้ไกลที่สุด และต้องจ่ายไฟได้มากที่สุดในช่วงรถสตาร์ทและไต่ระดับ

 แบตยุคแรกๆ ใหญ่ เกะกะ หนักอึ้ง มีราคาสูง ขนาดว่า Honda เองออกมายอมรับว่า ค่าแบตก็แพงกว่าค่ารถไฟฟ้าทั้งคัน แต่ต้องผลิตออกมาให้เช่า (ไม่ขาย) ก็เพื่อการวิจัยและโชว์ความสามารถของบริษัทเท่านั้น พูดง่ายๆ ว่า ในเชิงธุรกิจ ลืมได้เลย Toyota เองก็อิงระบบ Hybrid เพื่อลดต้นทุนและทำให้การผลิตขายเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม การเติบโตและมาแรง ของอุปกรณ์สื่อสารและ IT พกพา เช่น โน้ตบุ๊ก, มือถือ ได้กระตุ้นและเป็นแรงผลักดันให้ ผู้ผลิตแบต ทุ่มเทที่จะวิจัย และผลิตแบตที่ราคาถูกลง ขนาดเล็กลง น้ำหนักลดลง จนถึงจุดที่สามารถรองรับรถไฟฟ้าได้ นั่นแหละ จึงมีการแจ้งเกิด และสร้างความตื่นตัวให้แก่ค่ายรถยนต์กระแสหลัก ไม่ว่า Toyota, Honda, Mitsubishi (สังเกตว่า ไม่มีค่ายรถฝรั่งเก่าแก่เลย หรือค่ายเกาหลี) รวมทั้ง ผู้เล่น หน้าใหม่ ค่ายฝรั่งอย่าง Tesla ที่กำลังเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก โดย Tesla มุ่งผลิตรถไฟฟ้าอย่างเดียว และวางตลาดไป 3-4 รุ่น นานเกือบ 10 ปีแล้ว

กระแสรถไฟฟ้า ได้สร้างแรงเหวี่ยงด้านลบอย่างแรงต่อ OPEC และประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ทั้ง OPEC, รัสเซีย, อเมริกากลาง, อเมริกาใต้ ฯลฯ จนหลายสำนักมองว่า ยุครุ่งโรจน์ของเศรษฐกิจน้ำมันจบแล้ว ขนาดประเมินว่าประเทศซาอุดิอาระเบีย พี่ใหญ่ของ OPEC จะล้มละลายภายใน 5 ปี ถ้ายังหรูหราฟุ่มเฟือยกันอย่างปัจจุบัน เนื่องเพราะราคาน้ำมันดิบตกลงมาก จากกว่า 100 U$/บาเรล เหลือแค่ 40 - 50 U$/บาเรล และแน่นอน การแจ้งเกิดของรถไฟฟ้า ไม่เป็นผลดีต่อผู้ผลิตน้ำมันเลย

เราต้องยอมรับว่า การใช้เงินเป็นเบี้ยของเหล่าประเทศเศรษฐี บ่อน้ำมัน ช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจโลกไม่ใช่น้อย รวมทั้งตลาดของหรูหราฟุ่มเฟือยทั้งหลายแบบที่ใครก็นึกไม่ถึงว่า พวกเขาบ้าพอที่จะคิดทำคิดซื้อมาโชว์โอ้อวด

นี่เป็นผลกระทบข้อแรกของรถไฟฟ้า

1. ความเป็นรถไฟฟ้า ทำให้สามารถลดชิ้นส่วนอุปกรณ์ด้านกลไกและการเผาไหม้ลงได้มหาศาล จากทั้งคันร่วม 2 พันชิ้น เหลือแค่ไม่ถึง 20 ชิ้น อย่างรถเก๋ง Tesla จะมีแค่มอเตอร์ 4 ตัวติดอยู่กับล้อทั้ง 4 และต่อสายควบคุมด้วยวมองกลกับพวงมาลัย และจอแสดงผล ทั้งคันมีแค่นี้ ถ้าไม่นับแบตเตอรี่ผืนใหญ่ที่วางอยู่ บริเวณพื้นรถ ทุกอย่างควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าและสมองกล แทบไม่มีชิ้นส่วนกลไกทางกลศาสตร์เลย

นี่คือหายนะของโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชัดๆ โรงงานเหล้านี้และโรงงานต่อเนื่องจะต้องปิดตัวไปทั้งหมด ทั่วโลกคนจะตกงานนับล้านๆ คน แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากส่วนนี้จะหายวับไป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ สร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เกี่ยวข้องเยอะมากๆ ความร่ำรวยจะไปกองกระจุกกับผู้ผลิตชิ้นส่วนไม่กี่บริษัท เช่น ผู้ผลิตมอเตอร์, ระบบเบรคไฟฟ้า, สมองกล, แบตเตอรี่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องน้อยมาก

แน่นอน รัฐบาลไหนหน้าโง่พอที่จะลดภาษีรถไฟฟ้าเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือการฆ่าตัวตาย เพราะจะพัง 2 เด้ง คือ ภาษีที่ควรจะได้จากอุตสาหกรรมยานยนต์ (ที่เจ๊งแทบหมด), ภาษีรถ (0 %) สามคนตกงานนับแสนคน เป็นปัญหาข้อ 2 ของรถไฟฟ้า

2. รถยนต์ไฟฟ้า ต้องอาศัยแหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งต้องชาร์จไฟเก็บไว้จากไฟบ้าน ถ้าวันๆ ทุกคนแห่กันชาร์จไฟเข้าแบตให้รถของตัวเอง คิดดูว่า ยอดการใช้ไฟจะพุ่งปรี้ดขนาดไหน ยิ่งถ้าเป็นหน้าร้อนที่ปกติ ยอดใช้ไฟก็พุ่งติดเพดานกำลังการผลิตได้อยู่แล้ว ถ้ามียอดการใช้จากกการชาร์จไฟรถอีก? ดูไม่จืดแน่ รัฐบาลมิต้องดิ้นรนหาแหล่งปั่นไฟเพิ่มหรือ ไม่ว่าโรงไฟฟ้าถ่านหิน, น้ำมัน, นิวเคลียร์, เขื่อน ทั้งหมดต้องใช้เวลานานมากกว่าจะจบลงตัว ไม่นับงบประมาณอีกมหาศาล ปัญหาสิ่งแวดล้อม (หนีจากรถมาที่รถไฟฟ้า), ปัญหากำจัดกากนิวเคลียร์ (ที่ค่ากำจัดแพงลิบลิ่ว) อีกทั้งเสี่ยงต่อการก่อการร้ายและอุบัติเหตุ

3. นี่เป็นปัญหาข้อ 3 ที่หนักหนามาก

มีการนำเสนอการชาร์จไฟด้วยแผงโซล่าเซลล์ โอเค แม้ว่าการลงทุนครั้งแรกจะสูงพอควร 2-3 หมื่นบาทขึ้นไป แต่อย่าลืมว่า แผงโซล่าเซลล์มีอายุการใช้งานเฉลี่ยแค่ 10-15 ปี และที่น่ากังวลที่สุดคือ ผู้ขายชุดชาร์ไฟนี้จะทำมาให้มีไฟออกได้ทั้งกระแสตรง DC (สำหรับชาร์จแบตรถ หรือแบตบ้าน) และกระแสสลับ AC เพื่อใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในบ้านได้ด้วย วงจรแปลงกระแสพวกนี้ (Inverter) จะก่อให้เกิดสัญญาณขยะรบกวน (Noise) มหาศาลซึ่งกินช่วงความถี่กว้างมาก (Wide Band Noise) จะไปรบกวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ?ทุกเครื่อง? โดยเฉพาะเครื่องที่มีระบบควบคุมหรือทำงานแบบดิจิตอล ไล่ตั้งแต่ PC, โน้ตบุ๊ก, จอ LCD, เครื่องเล่นแผ่น CD, DVD, Bluray, กล่องดิจิตอล TV, Set Top Box, เครื่องเสียง (แม้ไม่มีดิจิตอล), เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, ระบบ WiFi/LAN, ชุดชาร์จโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ไม่นับมีผลเสียต่อสุขภาพ (ลดภูมิคุ้มกันลงมาก) เป็นมะเร็งได้

ลองหลับตานึกว่า ถ้าแทบทุกบ้านใช้รถไฟฟ้า ชาร์จไฟจากโซล่าเซลล์ คิดดูว่า ปริมาณ Noise จะอภิมหาศาลขนาดไหน ทำไมจะไม่แผ่ขยายไปรบกวนระบบสื่อสาร, ขนส่งสาธารณะ, รถไฟฟ้า BTS, MRT, ลิฟท์, เสาถ่ายทอดสัญญาณโทรศัพท์, ห้องของระบบโทรศัพท์บ้าน (ที่อยู่ตามตึกแถวในชุมชนทั่วกรุง) แม้กระทั่งตัวโทรศัพท์มือถือเอง, รีโมทไร้สายระบบ RF, โรงพยาบาล (ระบบตรวจ และผ่าตัด, รักษา, เครื่องปั๊มออกซิเจน ฯลฯ) ระบบฐานดาวเทียม (Uplink, Downlink), ระบบไฟจราจร, ระบบจราจร BTS, MRT ฯลฯ

แค่นึกก็หนาวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้จริง (ในทางเทคนิค ไม่มีทางปฏิเสธ) บ้านเมืองจะโกลาหล มิคสัญญีขนาดไหน น่าสยดสยองถึงสิ่งที่จะตามมา ที่สำคัญคือ ฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้วัวหลังหัก?

เกิด Noise นี้ถูกสะสมมากขึ้นๆ ซับซ้อนขึ้นทั้งรูปคลื่น และขนาดกำลัง ใหม่ๆ อาจยังไม่ส่งผล ระบบยังเอาอยู่ แต่เกินขีดจำกัดหนึ่ง ผลของมันระเบิดออกมาจน ทุกอย่าง เป็นอัมพาต หรือพิกลพิการไปหมดและ

4. นี่เป็นหายนะข้อที่ 4 ที่น่ากังวลมากที่สุด รุนแรงสุด

 จากการที่รถไฟฟ้า มีชิ้นส่วนน้อยมาก จึงเป็นไปได้ที่ใครจะทำการดัดแปลงแก้ไขเอง หรือมีร้านที่รับดัดแปลง เช่น เพิ่มกำลังและรอบของมอเตอร์ เพื่อให้รถแรงขึ้น เร็วขึ้นได้ตามใจชอบ และกำลังเงิน โดยเฉพาะพวกวัยรุ่น เด็กแว้น คงแต่งซิ่งกันเละเตลิดเปิดเปิงแน่ ไม่แค่แต่งมอเตอร์ไซค์อย่างแต่ก่อน โดยพวกเขาลืมไปว่า แล้วตัวถังจะรับแรงเหวี่ยง, เครียดได้แค่ไหน เบรคยังจะเอาอยู่หรือ แต่งจากเร็ว 150 กม./ชม. เป็น 250 กม./ชม. อะไรจะเหลือ

หน่วยงานรัฐจะตรวจสอบ ควบคุมกันได้อย่างไร น่าจะเป็นเรื่องยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย

5. คิดดูว่ามันจะน่ากลัวขนาดไหน ถ้ามีรถไฟฟ้าแต่ง วิ่งเต็มถนนไปหมด นับเป็นข้อกังวลยิ่งที่ 5

ในอเมริกา เวลาตำรวจตามจับรถเก่งซิ่ง เขาไม่ใช้วิธีส่งวิทยุไปให้รถตำรวจดักหน้าดักหลังแล้ว

มีการใช้ปืนไฟฟ้าแม่เหล็กยิงจากเฮลิคอปเตอร์ตำรวจลงไปยังรถเป้าหมาย ทำให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เสียทั้งคัน รถก็หยุด

แน่ใจได้อย่างไรว่า จะไม่มีการนำปืนไฟฟ้าแม่เหล็กนั้นมาขายให้ประชาชนทั่วไป จริงๆ แล้ว ปืนประเภทนี้ทำเองเล่นได้ง่ายมาก แค่ชาร์จไฟเก็บใส่ตัวเก็บประจุความจุสูงๆ จากนั้นก็ต่อลัดวงจรตัวเก็บประจุให้เกิดการสปาร์ค การจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMP, Electro Magnetic Pulse) ออกมากระหน่ำไปที่เป้าหมาย ก็แค่นั้นเอง

ลองนึกดูว่า ถ้ามีการซื้อ (ทำ) ปืนแบบนี้ออกมาขายกัน Online หรือตลาดมืด ซึ่งน่าจะอยู่ที่ราคาไม่เกิน 1 หมื่นบาท อะไรจะเกิดขึ้น ขับรถอยู่ ใครไม่พอใจใครก็ยิงปืนนี้เข้าหากล่องสมองกลของรถคันอื่น รถนั้นเครื่องจะหยุดวิ่ง ทันทีแล้วรถคันอื่นๆ ที่วิ่งตามๆ กันมาละ ถ้าเบรคไม่ทัน มิเละเป็นโจ๊กทั้งถนนหรือ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่ถูกควบคุมด้วยไฟฟ้า 100%

หมดยุคขับปาดหน้าจอด แล้วหยิบไม้เทนนิสลงไปหวดรถกันแล้ว

6. ผู้ขับขี่ใช้ถนนอยู่ จะสุ่มเสี่ยงมหาศาลขนาดไหน เตรียมการกันไว้บ้างหรือยัง นี่คือ ข้อกังวลที่ 6

7. รถไฟฟ้าต้องใช้แบตทุกคัน เมื่อแบตหมดอายุ จะเอาไปทิ้งที่ไหน จะจัดการอย่างไรกับแบตใช้แล้วที่กองสูงเป็นภูเขา

นี่คือ ข้อกังวลที่ 7

แค่ 7 ข้อนี่ผมก็ว่า ตีไม่แตกแล้ว ผมไม่ได้เชียร์ให้ยังคงยึดมั่นกับรถใช้แก๊ส, น้ำมัน อย่างปัจจุบัน ซึ่งสร้างความร่ำรวยมหาศาลให้คนกลุ่มเดียว (รวมทั้ง ป.ต.ท. แดนลึกลับแห่งสยามประเทศ) หากแต่อยากให้พวกเรา รอบคอบให้มากที่สุด ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า ต้องแน่ใจว่า มิใช่เป็นการก้าวไปหาปัญหาใหม่ที่แก้ยากขึ้น ซับซ้อนขึ้น ต้องเป็นการแก้ที่ลดปัญหาได้จริง ไม่มองแต่ผลดีเฉพาะหน้าที่ต้องจ่ายด้วยราคาแพงลิบลิ่วในอนาคต

- รถตกลงไปในน้ำจะเกิดอะไรขึ้น!!
รถไฟฟ้าใช้แบตแรงดันสูงกว่าปกติ แบตแรงดันสูงแล้ว ยังจ่ายกระแสออกมาให้แก่มอเตอร์สูงมากเป็น 100 แอมป์ขึ้นไป ถ้ารถตกลงไปในน้ำ มันก็กลายเป็นเครื่องช็อตปลาขนาดยักษ์  คนที่อยู่ในรถหรือแถวนั้นจะถูกช็อตด้วยกระแสไฟ DC แรงสูงมาก  มากกว่าถูกไฟดูดในบ้าน  ผลคือ...ไฟดูดตายเรียบ  รวมทั้งคนที่ลุยน้ำลงไปช่วยด้วยเช่นกัน

8.  ถ้าเกิดอุบัติเหตุ รถถูกชน จนแบตเตอรี่เสียหาย บริษัทฯประกันจะรับผิดชอบแค่ประมาณ 70 %ของราคาแบต ใหม่
ถ้าแบตราคา500,000 บริษัทจ่ายให้แค่  350,000 บาท  เจ้าของรถต้องจ่ายเอง ถึง  150,000 บาท !
และถ้าแบตแพงกว่านี้ เช่น 800,000 บาท บริษัทประกันมักอั้นแค่ 500,000 บาท หรือต่ำกว่านั้นที่เหลือเจ้าของรถจ่ายเอง
300,000 บาท. 
ค่าซ่อมรถไฟฟ้าส่วนของอีเลคโทรนิคจะแพงมาก ไม่มีการซ่อมเฉพาะชิ้นส่วนอะหลั่ยชิ้นที่เสีย แต่ยกเปลี่ยนทั้งแผงวงจร ค่าซ่อมจะแพงมากๆ 
หรือถ้าไม่มีประกัน
ค่าซ่อมรถรวมแบต ร่วมล้านบาท !  รถน้ำมันไม่ถึงขนาดนี้
9.  เนื่องจากรถไฟฟ้า มีชิ้นส่วนหลักน้อยกว่ารถน้ำมันมาก จึงถอดตัวถังออกปรับเป็นรุ่นใหม่ได้ง่ายมาก ทำให้สามารถออกรุ่นใหม่ได้ตลอดเวลา จึงเปลึ่ยนรุ่นได้เร็วมาก อาจทุก 3-6 เดือน รถไฟฟ้าจึงตกรุ่นเร็วมาก รถไฟฟ้ามือสองจะขายยากมากๆ 
  10. ราคาของแบตรุ่นใหม่ นับวันจะถูกลงๆและดีขึ้นๆ เมื่อแบตหมดอายุและขายรถทิ้ง จึงแทบไม่ได้ราคาเลยเพราะจริงๆราคารถอยู่ที่แบต  จึงเหมือนเช่ารถขับ  ใครที่หวังจะขายรถเก่าถอนทุน จะไม่เหลืออะไร  มันจะกลายเป็นสินค้าเทคโนโลยี่เหมือนมือถือ  เปลี่ยนรุ่นเร็ว ตกรุ่นเร็วมาก  ต้องยี่ห้อที่ทุนหนาแน่นมหาศาลจริงๆเท่านั้น จึงจะอยู่รอด ยี่ห้อเล็กๆ โนเนม จะเจ้งหมด ใครซื้อไว้ จะหาคนรับผิดชอบให้ไม่ได้ ขายก็ไม่มีใครเอา  รถคุณจะกลายเป็นเศษเหล็กชั่วข้ามคืน
ที่จีน รถไฟฟ้าโนเนมยี่ห้อเล็กๆที่แห่กันทำออกมาเพราะแค่สั่งชิ้นส่วนมาประกอบถึงจอดทิ้งขายไม่ออกนับหมื่นคัน
11.  รถไฟฟ้าล่าสุดที่คุยว่าวิ่งได้ 1750 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ยังนึกไม่ออกว่า ตัวชาร์จจะแพงลิบขนาดไหน ต้องมีเป็นล้านบาทขึ้นไป ตัวแบตก็เช่นกัน  แล้วอย่างที่บอก เกิดอุบัติเหตุถูกชนจนแบตร้าวแตก ค่าเปลี่ยนแบต ตายแน่ๆ
12.  แบตที่ใช้ปัจจุบัน( ลิเธี่ยมไอออน) กลัวไอเค็มจากทะเล มีสิทธิ์ทำให้แบตกร่อนไฟลุกได้ ที่อเมริกา ช่วงพายุจากทะเลพัดกระหน่ำ เล่นเอารถไฟฟ้าไฟลุกนับสิบคัน (ใครจะกล้าซื้อมือสอง )
13.  ประเทศที่ถนนไม่เรียบจริง(อย่างบ้านเรา) รถตกหลุม เจอลูกระนาด ไม่กี่ทีแบตแตกร้าว  ควันออกไฟลุกท่วม เจอกันถี่ขึ้นเรื่อยๆ น่ากลัวมาก

14. การเร่งความเร็วของรถไฟฟ้า จะต่างจากรถน้ำมันปกติมาก  รถน้ำมัน เหยียบคันเร่งแล้วเครื่องยนต์จะ ใช้เวลาในการไต่รอบ( เสียงเครื่องยนต์รอบถี่ สูงขึ้น คนขับประเมินกะเกณฑ์ จังหวะได้ มีเวลา วางแผน)  แต่รถไฟฟ้า เหมือนเครื่องปั้มน้ำที่บ้านนา มันจะทำรอบสูงเกือบจะทันทีทันใด นี่คือเหตุผลที่รถไฟฟ้าล้านกว่าบาท ทำความเร็วรอบได้  เทียบเท่าหรือเร็วกว่ารถสปอร์ตหรูหลายสิบล้านบาท   ถูกใจวัยรุ่นวัยซิ่ง  จนมองข้าม ลืมและวางแผนการประคองรถไม่ทัน  กะไม่ทัน จนเกิดอุบัติเหตุบ่อย ถี่ขึ้น ตามสถิติของหลายบริษัทประกันภัยในจีนเอง และมักเป็นหนักด้วย
จนมีรถ EV  บางยี่ห้อ  ใส่เสียงการเร่งเครื่องเลียนเสียงเครื่องยนต์น้ำมัน ให้มาด้วย

15. สถิติ บ้าน คอนโด ที่เกิดไฟไหม้หนัก โดยสาเหตุมาจากการชาร์จและความร้าวแตกของแบตรถ  EV  มีสูงขึ้น บ่อยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ้านเรามีหลายรายแล้ว

16. เนื่องจากรถEV  ต้องใช้แบตมาก ทำให้รวมน้ำหนักแล้ว ร่วม 2 เท่าของรถน้ำมัน ผลตือ รถจะมีโมเมนตัม( น้ำหนักพุ่ง ) สูงกว่ารถน้ำมันมาก เมื่อเกิดการพุ่งชนอะไร  จึงมักจะหนักหนาสาหัสกว่าปกติมาก พังยับแบบไม่น่าเชื่อ โอกาสเสียชึวิตสูง
ทั้ง2ฝ่าย   แต่น่าเสียดาย ที่มีผู้ผลิตรถไฟฟ้าEV น้อยรายมาก ที่จะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในการตั้งค่าขีดความปลอดภัยให้แก่อุปกรณ์ช่วยชีวิต ความปลอดภัยและความแข็งแรงของตัวรถ รวมทั้งระบบเบรค ที่คำนึงถึงความจริงใหม่เรื่อง โมเมนตัมที่มากขึ้นนี้

17. เมื่อรถไฟฟ้าเกิดเพลิงไหม้(ซึ่งมีโอกาสสูง)  การดับเพลิงจะยากมาก ต้องใช้เทคนิคและอุปกรณ์  พิเศษโดยเฉพาะ ซึ่งแม้แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ก็แทบจะไม่มีความรู้พิเศษนี้ เอาแต่ฉีดน้ำดื้อๆอย่างเดียว อาจไม่ระวังเรื่องการระเบิดของแบตด้วย

สาเหตุหนึ่งที่รถไฟฟ้าเหลือบานเบอะขายไม่ออก ในเมืองจีน

1. การที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนก้อนใหญ่สำหรับบริษัทที่จะทำรถไฟฟ้าขายในจีน ทำให้มีบริษัทหน้าใหม่แห่เข้ามามากเป็นร้อยๆ หวังเงินอุดหนุนก้อนใหญ่จากรัฐบาลเป็นหลัก แล้วก็เล่นละครประกอบรถไฟฟ้าออกขายอย่างชุ่ยๆไร้มาตรฐาน โดยการผลิตใช้ชิ้นส่วนจากโรงงานภายนอกทั้งหมด ตัวเองเป็นแค่ นำมาประกอบเหมือนชุดคิท เพราะชิ้นส่วนรถไฟฟ้าน้อยกว่ารถน้ำมันเป็นร้อยเท่า พวกนึ้ไม่ได้หวังขายรถ แต่หวังตบเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่า รถก็ทำออกมาสุกเอาเผากินเพื่อ ให้ต้นทุนต่ำที่สุด ไม่ได้หวังจะขายได้ 

2.  เนื่องจากรายใหญ่ที่ทำเป็นล่ำเป็นสัน เงินทุนหนาแทบไม่ต้องสนใจเงินอุดหนุนจากรัฐเลย ทุกอย่างแทบจะทำเองหมด แทบไม่มีการใช้ชิ้นส่วนจากภายนอก ( out source) จำใจต้องใช้การผลิตทีละเยอะๆ  แถมต้องเปลี่ยนรุ่นเร็วมาก เพื่อสู้ราคากับฝูงบริษัทหน้าใหม่   ทำให้ไม่มีทางมีเวลาพอที่จะทดสอบมาตรฐานอะไร ไม่ว่าการผลิต การใช้งานจริง การลงทุนทำอุโมงค์ลมเพื่อวิเคราะห์ด้านพลศาสตร์ (airo dynamic)
  นี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่คนจีนที่พอมีฐานะ จะไม่ซื้อรถไฟฟ้าจีน เพราะห่วงเรื่องมาตรฐานและความปลอดภัย
แม้อาจมีการแสดงใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม แต่ก็รู้ๆกันอยู่ มันซื้อได้ และเมื่อมองจากการที่ออกรุ่นใหม่กันเร็วมากๆแทบทุก3 -4 เดือน จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีเวลาตรวจสอบมาตรฐานใดๆก่อนลงมือผลิตจริงแต่ละรุ่น ยิ่งฝูงบริษัทหน้าใหม่  ลืมได้เลย  ซื้อไปก็วัดดวงกันเอาเอง
(ทางออก รัฐบาลต้องตั้งหน่วยทดสอบมาตรฐานส่วนกลางที่เข้มงวดและโปร่งใส)

ขอทิ้งทายเตือนผู้ที่คิดจะซื้อรถไฟฟ้า ทำประกันชีวิตไว้เยอะๆหน่อย เพราะรถไฟฟ้าที่ควบคุม ทุกอย่าง ด้วยระบบอีเลคทรอนิคและคอมพิวเตอร์  แน่นอน มันอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าด้านคลื่นไฟฟ้าภายนอกไม่ว่า คลื่นจากเครือข่ายมือถือสารพัด ยิ่งต่อไปจะใช้เสาส่งแรงสูงWiMax ( ต่างจังหวัดมีมากแล้ว )
ในกรุงกำลังเริ่ม รวมทั้ง คลื่นมือถือระบบยิงผ่านเครือข่ายดาวเทียม  การระเบิดของหม้อแปลงไฟหลวง ฟ้าแลบฟ้าผ่า( เป็น การรบกวนในรูปคลื่นกระแทกหรือ EMP - Electro Magnetic Pulse)  ซึ่งจะทำให้วงจรอีเลคโทรนิค คอมพิวเตอร์ เสียหาย ทำงานผิดพลาด รถควบคุมไม่ได้ น่ากลัวมาก ) ยานสำรวจดวงจันทร์อพอลโล13 ยังเจอปัญหานี้  จรวดพุ่งขึ้นไปแค่ 10 วินาที ยานระเบิด  นักบินอวกาศตายทั้งลำ นั่นขนาดเขามีระบบไฮเทคสุดๆตรวจสอบซ่อมแซมตัวเองตลอดเวลา

พูดง่ายๆ รถน้ำมันปลอดภัยกว่ามาก
 

www.maitreeav.com

www.maitreeav.com
สำนักงาน : 313/129 ซ. เคหะร่มเกล้า 64 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520
โทร. 081-5500269 , 099-569-6459