|
ความน่าสะพรึงกลัวที่มากับการย่อส่วน โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ ความน่าสะพรึงกลัวที่มากับการย่อส่วน หมู่นี้เราได้ยินข่าวคราวเรื่องการเรียกรถยนต์กลับคืน โดยโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นในอเมริกา ถี่ขึ้น และเป็นปริมาณที่มากมายนับล้านคัน ไม่ว่า เรื่องพวงมาลัย เรื่องคันเบรกค้าง และอื่นๆ คำถามคือ ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้พร้อมๆ กันของค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น และมีปริมาณการเรียกรถยนต์คืนมาก มายมหาศาลเช่นนี้ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำไมในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกจึงไม่มี ปัญหานี้กับเหล่าค่ายยักษ์ใหญ่ (ล่าสุด เพิ่งที่ฝรั่งเศส) ทำไมจึงเกิดกับ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ ญี่ปุ่นที่เคยได้ชื่อว่า รถยนต์ของพวกเขามี ความน่าเชื่อถือสูงมากในแง่ความคงทน และปลอดภัย ติดอันดับ 1 ใน 5 สูงสุดใน อเมริกา (ค่ายหนึ่งติดอันดับหนึ่งแซงหน้า ค่ายรถยนต์อเมริกัน และ ยุโรป) โดย เฉพาะค่ายอเมริกายี่ห้อหนึ่ง รั้งท้ายรองที่โหล่สุด ในแง่ความคงทน และรถอเมริกันเกือบทั้งหมดติดอันดับ บ๊วยในแง่ความคงทน (รายงานจากนิตยสารคู่มือการซื้อรถใน อเมริกา 2 ปีติดต่อกันเมื่อหลายปีมาแล้ว) ผมเองเคยไปดูงานที่ประเทศญี่ปุนหลายครั้ง เป็นโรงงานผลิต เครื่องเสียง ซึงเขาพิถีพิถันในการควบคุมการผลิตในทุก กระบวนการขั้นตอน เขารัดกุมมากในทุกๆ เรื่อง แม้แต่โรงงาน ญี่ปุ่นในต่างประเทศก็เช่นกัน (เช่น ที่มาเลเซีย) เครื่องเสียงและ ภาพค่ายญี่ปุ่นถือว่า ทนทานไว้ใจได้มากที่สุดในโลกทีเดียว มันดูเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาไปแล้ว เรื่อง “คุณภาพ” ความทนทาน ที่ค่ายจีน หรือเกาหลียังต้องไล่ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงสร้างความฉงนให้แก่ผมเป็นอย่างมาก ผมเริ่มมองย้อนกลับไปในอดีตเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว มีดอกเตอร์ผู้หนึ่งออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ของ “มด” เขาพบว่า คอมพิวเตอร์ได้ออกนอกลู่นอกทางที่เขาโปรแกรมไว้ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ เหมือนกับมัน “คิด” ได้เอง เมือไม่กี่ปีมานี้ (7-8 ปี) มีผู้แทนจำหน่ายระบบกุญแจ อิเล็กทรอนิกส์ป้องกันการขโมยรถยนต์ระดับไฮเอนด์แพงสุดใน ตลาด การเข้ารหัสที่สลับซับช้อนยิ่ง ถ้าจะนั่งเดา ต้องเดาตัวเลข เป็นล้านตัวเลขขึ้นไป และรถยนต์แต่ละดันจะถูกเข้ารหัสป้องกัน ต่างๆ กันไป ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นซ้ำกันได้เลย แต่เอาเข้าจริง วันหนึ่ง รถของเพื่อนผมกับรถของเจ้าของที่เป็นตัวแทนจำหน่าย จอดไม่ห่างกันในการไปงานครั้งหนึ่ง ปรากฏว่า กดรีโมทคลายล็อกคันหนึ่ง ดันไปคลายล็อกอีกคันได้ อย่างเหลือเชื่อ ผมคงไม่โทษระบบป้องกันขโมยของรถยนต์ยี่ห้อนั้น เพราะ เชื่อว่า โอกาสจะเกิดคงมีน้อยมากๆ แต่อย่างน้อย มันเกิดขึ้นได้ แม้จะมีการป้องกันอย่างดีแล้ว ก่อนที่เราจะมาพิจารณาเหตุผลของ “การออกนอกลู่นอกทาง ของระบบสมองกลขนาดจิ๋วระดับ microprocessor” ขอให้เรามา ฟังนิทานเรื่องหนึ่ง ผมเคยอ่านนวนิยายเรื่องหนึ่งสมัยเป็นเด็ก มีเนื้อหาย่อๆ ว่า ครั้งหนึ่งมีหนุ่มเจ้าความคิดคนหนึ่งเสนอความเห็นว่า ในภาวะที่มนุษย์กำลังจะล้นโลก การผลิตอาหารของทั้งโลกก็ตกตาลง เรื่อยๆ เขาจึงเสนอว่า เราควรย่อส่วนให้มนุษย์เล็กลงสักครึ่งหนึ่ง หรือเหลือ 1 ใน 3 ก็ได้ เพื่อให้แต่ละคนบริโภคอาหารน้อยลงเหลือครึ่งเดียวหรือ 1 ใน 3 ซึ่ง เหมือนกับที่เราเพิ่มปริมาณ อาหารโลกขึ้น 2 เท่า หรือ 3 เท่า ดูแล้วเป็นความคิดที่ดี เข้าท่าทีเดียว จนเมื่อใครบางคนถามขึ้น ว่า ถ้าตัวเราเล็กลงขนาดนั้น มนุษย์ก็จะเห็นสุนัขของเขาโตขึ้น 2-3 เท่า นก, แมลงสาบ หรือแม้แต่หนู ทุกสรรพสิ่งบนโลกจะโตขึ้น 2-3 เท่าเช่นทัน และ แน่นอน เชื้อโรคต่างๆ ด้วย แล้วมนุษย์จิ๋วจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ หรือไม่ มันคงน่ากลัวพิลึกทีเดียว เป็นอันว่า ทำไม่ได้ เพราะเรา ย่อส่วนอื่นๆ ในโลกตามไม่ได้ กรณีของเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สมองกลจิ๋วก็เหมือนกัน นับวันตัวชิป 1C (วงจรหน่วยรวม) จะมีขนาดเล็กลงๆ แต่จุวงจรชิ้น ส่วนภายในมากขึ้นๆ ขณะเดียวทันก็ใช้ไฟเลี้ยงต่ำลงๆ (ถ้าไฟ เลี้ยงสูง, กระแสสูง ชิ้นส่วนระดับไมโคร หรือจุลทรรศน์ ภายในทั้ง หลายจะทนกระแสหรือแรงดันไม่ได้ จะไหม้หรือทะลุเสียหาย หมด) เมื่อชิป 1C พวกนี้ ทำงานที่แรงไฟตํ่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับครั้งอดีต แน่นอนว่า สัญญาณรบกวนทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจาก ภายนอกที่นับวันมากขึ้นๆ ระดับสูงขึ้นๆ จากสารพัดเครื่องกำเนิด คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ว่าจากสถานีวิทยุ, โทรทัศน์ ที่ผันตัวเองมา เป็นระบบดิจิตอล คลื่นกวนจากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในระบบดิจิตอล การส่งคลื่นเครือข่ายการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้ง WiFi และ WiMAX (ที่แรงพอๆ กับสถานีวิทยุดิจิตอล) การใช้โทรศัพท์มือถือในรถยนต์ การเล่น video game ใน รถยนต์ (ที่ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าในอดีตมาก ภาคดิจิตอลแรงขึ้น) การเล่น iPod, iTouch การดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต การใช้ระบบ GPS ในรถยนต์ (ซึ่งต้องค่อนข้างแรง เพื่อสื่อสารกับดาวเทียมให้ได้) การใช้โน้ตบุ๊กในรถยนต์ (ซึ่งนับวันความเร็วของ processor สูงขึ้นอย่างมาก) การใช้รีโมทไร้สายระบบ RF เปิด-ปิด โรงรถ หรือประตูบ้าน การใช้เรดาร์ตรวจจับรถยนต์ที่วิ่งเร็วเกิน การใช้การ์ดทางด่วนแบบส่งคลื่น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ล้วนส่งคลื่นขยะที่มีความแรงมากน้อยแตกต่างกัน ไปออกมาป่วน “สมองกล” ของรถยนต์ที่ควบคุมแทบทุกอย่าง ภายในรถ ทั้งเครื่องยนต์, ระบบขับเคลื่อน, ระบบเลื่อนเบาะ, กระจก, แอร์ หรือ แม้แต่ถุงลมนิรภัย ฯลฯ ประกอบกับสมองกล (microprocessor) ของรถยนต์ใน ปัจจุปัน นับวันก็อัจฉริยะขึ้น และมีขนาดเล็กลงๆ จนคลื่นขยะความถี่สูง (RF)สารพัดดังกล่าว มีผลรบกวนการทำงานของ สมองกลมาก ทั้งแบบ dynamic คือ กวนตรงนั้น เห็นผลตรงนั้น ทันที และแบบ static คือ ฝังเป็นตะกอนมากขึ้นๆ ไม่มีผลทันที แต่เมื่อมันตกผลึกมากถึงจุดหนึ่ง วงจรสมองกลจะทำงานผิด พลาดเหมือนการโปรแกรมผิดเพี้ยน วันดี คืนดี มันก็แสดงอาการ ออกมาโดยคนขับไม่ทันระวังตัว อีกสาเหตุหนึ่งที่คงไม่มีใครนึกถึง ได้แก่ ในอเมริกา เวลาตำรวจขับรถยนต์ไล่ล่าพวกผู้ร้ายหรือขึ้เมาที่ ขับรถหนีไปบนถนน ถ้าจะหยุดรถเจ้าปัญหาเหล่านี้ อาจทำให้เกิด อุบัติเหตุที่ร้ายแรงได้ พวกตำรวจจะต้องขับรถดักหน้า หรือปาด ช้าย-ขวาให้รถยนต์เจ้าปัญหาหักหลบลงข้างทาง หรือชน หรือ ต้องจอด (อย่างที่เราเห็นทางช่อง discovery) แต่ปัจจุบัน หลายๆ เมือง ตำรวจจะใช้วิธีใหม่ในการหยุด รถยนต์เป้าหมาย โดยการ “ยิง” ด้วยปืนระเบิดคลื่น (shock wave) ความถี่สูง แรงสูงไปยังหน้ากระโปรงรถยนต์ของผู้ต้อง สงสัย โดยยิงจากเฮลิคอปเตอร์ คลื่นแบบช็อกเวฟนั้น จะไปทำให้ ระบบสมองกลของรถยนต์ต้องสงสัยเสีย และหยุดลง ให้ตำรวจที่ ขับรถยนต์กวดตามภาคพี้นดินเข้ามาจับกุมได้ (รถตำรวจที่ตาม หรือเฮลิคอปเตอร์ก็คงต้องระวังอุปกรณ์ต่างๆ ของตัวเองจากช็อก เวฟเช่นกัน) มันจึงเป็นไปได้ไหมที่ ปืนคลื่นนี้จะมีพิสัยทำการ หรือความ แรงมากพอที่จะก่อปัญหาแบบ static แก่รถยนต์คันอื่นๆ ที่อยู่ นอกเหนือเป้าหมายที่ยิงในบริเวณนั้น และเกิดผลภายหลัง หรืออย่างน้อย ทำให้สมองกลของรถยนต์เหล่านั้นอ่อนแอลง และง่าย ที่จะถูกรบกวนจากคลื่นขยะ RF สารพัดภายนอกได้ในภายหลัง ทั้งแบบ dynamic และแบบ static และเพราะประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังไม่มีใครใช้ปืนยิงคลื่นดังกล่าว ปัญหาจึงยังไม่เกิด (ฝรั่งเศสอาจเริ่มนำไปใช้) ข้อคิดข้อเสนอนี้เป็นแค่เพียงการอนุมานเอาจากมูลเหตุปัจจัย เบื้องต้นเท่านั้น ถ้าจะให้ผลแน่ชัดต้องทำการทดสอบทดลองจริงๆ โดยสร้างจำลองสภาวะแวดล้อมจริงๆ ต่อรูปคลื่น RF กวนจากทุก แหล่งกำเนิดให้มากและหลากหลายที่สุด ซึ่งไม่แน่ว่า ผลทดสอบ ที่ได้ อาจสร้างความตื่นตระหนกได้อย่างนึกไม่ถึงทีเดียว มันอาจ ไม่เพียงแต่รถยนต์ แต่อาจลุกลามไปสู่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยได้ แต่ที่แน่ๆ จับตาโทรศัพท์ มือถือประเภท smart phone, กล้องดิจิตอล และโน้ตบุ๊กยุค ใหม่ทั้งหลายให้ดีๆ อาจมีกรณีต้องเรียกเก็บคืนกันอย่าง ถล่มทลายแบบล้างตลาดจาก ทั่วโลกก็ได้...!!! www.maitreeav.com |